สถาปนา สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เป็นสมเด็จพระสังฆราช

วันที่ ๑๒ ก.พ. ๒๕๖๐ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนา สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เป็นสมเด็จพระสังฆราช โดยมีพระราชพิธีสถาปนา ที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง

โดยพระนามสมเด็จพระสังฆราชที่จารึกในพระสุพรรณบัฏคือ

“สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สุขุมธรรมวิธานธำรง สกลมหาสงฆปริณายก ตรีปิฎกธราจารยอัมพราภิธานสังฆวิสุต ปาพจนุตตมสาสนโสภณ กิตตินิรมลคุรุฐานียบัณฑิต วชิราลงกรณนริศรปสันนาภิสิตประกาศ วิสารทนาถธรรมภูตาภิวุฒ ทศมินทรสมมุติปฐมคณาธิเบศร ปวิธเนตโยภาสวาสนวงศวิวัฒ พุทธบริษัทคารวสถาน วิบูลสีลสมาจารวัตรวิปัสนสุนทร ชินวรมหามุนีวงศานุศิษฎ บวรธรรมบพิตร สมเด็จพระสังฆราช” องค์ที่ ๒๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เสด็จสถิต ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร

 

พระปฐมโอวาท

“ขออำนวยพรแก่สาธุชนพุทธบริษัท อุบาสก อุบาสิกาทุกคน ที่ท่านได้มีศรัทธาปสาทะ ความเชื่อความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย และได้มาประชุมพร้อมกัน ณ ที่นี้ในวันนี้ ด้วยจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยกุศล ก็ขออนุโมทนาสาธุการด้วย (เสียงประชาชนกล่าวคำว่า สาธุ) ท่านทั้งหลายได้มากันในวันนี้ ก็เพื่อมาอำนวยพร หรือมาแสดงมุทิตาแก่อาตมา ผู้ได้รับสถาปนาเป็นอะไรนั้นก็เป็นที่ทราบอยู่แล้ว ยังไม่ต้องกล่าวซ้ำ ก็ขออนุโมทนาสาธุการขอบใจท่านอุบาสกอุบาสิกาทุกท่านที่มีจิตใจอันเป็นกุศลดังกล่าวแล้ว (เสียงประชาชนกล่าวคำว่า สาธุ)

ท่านทั้งหลายก็มีธรรมะคือความดี ความงามประจำใจอยู่แล้ว ก็ขอให้ท่านทั้งหลายจงรักษาความดี ความงามที่ท่านมีอยู่แล้วนี้ ให้คงที่ไว้ตลอดไป อาตมาจะไม่กล่าวอะไรมากมายก่ายกอง ขออย่าเพิ่งสาธุเร็วนัก ยังไม่ทันอะไรก็สาธุ ถ้าปู่ย่าตายายหรือพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านก็จะกล่าวว่า สาธุบ้าๆ บอๆ อย่างนี้ นี่เราที่พูดมานี้ไม่ได้พูดแบบวิถีการ หรือวิธีการ

เราพูดกันด้วยฐานะที่เราทั้งหลายเป็นพุทธศาสนิกชน บริษัททั้งสี่ ท่านทั้งหลายเป็นอุบาสก อุบาสิกา ๑ อุบาสก ๒ อุบาสิกา ๓ ภิกษุ ๔ ภิกษุณี เราก็ล้วนเป็นพุทธบริษัทด้วยกันก็แล้วกัน เพราะฉะนั้นก็ขอให้เรารักษาจิตใจที่เราเลื่อมใสศรัทธาในพระรัตนตรัยให้คงที่ไว้ อาตมาก็ขออนุโมทนาสาธุการกับท่านอีกครั้งหนึ่ง ขอให้ท่านรักษาความดีอันนี้ไว้อีกครั้งหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องกล่าวมากหรอก

หลักที่เราทั้งหลายได้ปฏิบัติกันทุกวันนี้ ก็ขอให้รักษาไว้ รวบยอดแล้วหลักธรรมะ หลักธรรมที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงให้เรายึดถือปฏิบัติ ก็มีอยู่ ๓ ประการดังที่ท่านทั้งหลายทราบแล้ว ปฏิบัติกันอยู่แล้วทั้งนั้น หลักศีล สมาธิ ปัญญา ๓ อย่างนี่แหละ ถ้ากล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านทั้งหลายก็จะว่ามันยาก สูง ทำไม่ได้ แต่เป็นสิ่งที่ท่านทั้งหลายได้ทำกันอยู่ประจำทุกวัน

ศีลคืออะไร ตามหลักศัพท์เขาเรียกว่าปกติ พระพุทธองค์ได้ทรงสอนไว้ว่ายังไงเราอย่าลืม ทำกายวาจาของเราให้อยู่ในภาวะปกติ นี่แหละศีล และเรามีศีลห้า จะปฏิบัติอย่างไรให้มันเป็นภาวะปกติได้ ถ้าจะคิดจริงๆ แล้ว ก็นึกถึงสภาวธรรมที่เป็นจริงว่า กาย วาจา กายน่ะธรรมชาติสร้างมาทำไม นึกถึงธรรมชาติ ให้ประกอบกิจการงาน วาจา ธรรมชาติสร้างมาทำไม สื่อสารให้เข้าใจกัน ถ้าเราสื่อสารมีภาษาของเรา เราสื่อสารให้เข้าใจกัน ถ้ากายเราไม่ปกติ กิจกรรมที่เรากระทำนั้น มันก็ไม่สัมฤทธิผลตามที่เราต้องการ นึกดูเอาก็แล้วกัน ท่านทั้งหลายล้วนแต่มีความรู้กันแล้วทั้งนั้น ไม่ใช่ว่ากายพิการ กายพิการนั้นเขาก็ทำของเขาได้ ตามภาวะปกติของเขา ที่นี้ตามปกติอย่างที่ท่านทั้งหลายนั่งกันอยู่ในที่นี้ ท่านก็มีกายวาจาปกติตามภาวะของเรา ทีนี้ก็ต้องนึกถึงธรรมชาติว่าสร้างกายวาจามาให้เราทำอะไรดังกล่าวแล้ว เราอยู่ในภาวะปกติไหม นึกเอาก็แล้วกัน เช้าขึ้นมาถ้าโยมเป็นครอบครัว กายวาจาไม่ปกติ ไม่มีเสียงอะไรเกิดขึ้น คิดเอาจริงไหม นี่ครั้งแรกจะง่ายหรือยากคิดเอาก็แล้วกัน

สองสมาธิ โอ๊ยไม่ไหวแล้ว เราหลับหูหลับตามานั่งโอ๊ยฉันทำไม่ได้ แต่ลองนึกดูก็แล้วกัน สมาธิคืออะไร ที่เรามาแปลกันมาว่าการทำใจให้ตั้งมั่น ทำใจให้เป็นหนึ่งเดียว คือจะทำอะไรก็ตั้งอกตั้งใจทำ ถ้ายกตัวอย่างง่ายๆ ช่างภาพที่ถ่ายภาพเราอยู่ทุกวันนี้ ขณะนี้ก่อนนั้นเขาถ่ายเป็นไหม ไม่เป็น เขามาศึกษา เขาตั้งใจศึกษา เมื่อศึกษาเสร็จแล้วก็ทำงาน เมื่อทำงานเสร็จแล้ว ถ้าไม่ได้ตั้งใจศึกษา ไม่ตั้งใจทำงานที่ดี ให้ดีแล้ว เขาจะเป็นช่างภาพที่ดีไหม ใช่หรือไม่ ยากไหม แล้วท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่นี่ จบชั้นปริญญากันมาทั้งนั้นเยอะแยะ ถ้าจิตใจเราไม่ตั้งมั่น เราไม่ตั้งใจศึกษา จบไหม ไม่จบ นี่แหละสมาธิ

เมื่อเรามีศีล มีกายวาจาเป็นปกติ มีสมาธิ ปัญญาจะไปที่ไหน ก็เกิดขึ้นตามลำดับ ดังที่กล่าวมาแล้ว เพราะฉะนั้นก็ขอให้นึกถึงหลักธรรมที่พระพุทธองค์ได้ทรงสอนเราเอาไว้ ๓ ข้อง่ายๆ นึกอยู่ทุกวันๆ เราทั้งหลายก็จะมีความสุขใจ เมื่อเรามีความสุขใจ ญาติของเราก็สุขใจ ทุกคนสุขใจแล้ว กิจกรรมอะไรมันก็เกิดขึ้นได้สบาย

อนึ่ง ท่านทั้งหลายได้มาประชุมกัน ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ในขณะนี้ ท่านทั้งหลายก็ทราบแล้วว่าวัดนี้เป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ซึ่งเราทั้งหลายก็ได้ถวายพระนามท่านว่า พระพุทธเจ้าหลวง ได้ทรงสร้างขึ้น และในรัชสมัยของพระองค์ก็มีคำภาษิตอยู่บทหนึ่ง บางท่านก็ทราบแล้ว บางท่านก็คงไม่ทราบ เพราะฉะนั้นในฐานะที่ท่านเข้าอยู่มาในวัดนี้แล้ว อาตมาก็จะขอมอบภาษิตนี้ให้ท่านทั้งหลายไปปฏิบัติดู ภาษิตนั้นเป็นภาษาบาลี คำว่า สพฺเพสํ สงฺฆภูตานํ สามคฺคี วุฑฺฒิสาธิกา ความพร้อมเพรียงแห่งชนผู้อยู่ร่วมกันเป็นหมู่ ยังความเจริญวัฒนาถาวรให้สำเร็จ คำนี้ใช้ได้ทุกกาลเวลา ทุกรัชสมัย จนในรัชสมัยรัชกาลปัจจุบันก็ทำได้ เราทั้งหลายในฐานะที่เป็นประชาชนชาวไทย เราสืบมาบางท่านก็หลายรัชกาล บางท่านก็สองรัชกาล บางท่านก็หนึ่งรัชกาล ก็รักษาคำนี้ไว้ ความพร้อมเพรียงแห่งชนผู้อยู่ร่วมกันเป็นหมู่ ยังความวุฑฒิสาธิกา ยังความเจริญรุ่งเรืองให้สำเร็จได้

ขณะนี้เราก็เป็นที่ทราบอยู่แล้ว ประเทศของเรากำลังต้องการพัฒนา ต้องการให้ชาติของเรา ประเทศของเราพัฒนาเจริญๆ ยิ่งๆ ขึ้นไป ก็ขอให้ท่านทั้งหลายนำธรรมภาษิตนี้ไปนึกดู ไปคิดดู แล้วไปกระทำร่วมกับสามข้อแรก ความปกติกาย ความปกติวาจา ความตั้งใจทำงานในสิ่งที่เรากระทำ และมีปัญญาควบคุม รวมอยู่ในนี้เสร็จหมด เพราะฉะนั้นหวังว่าท่านทั้งหลายคงจะเข้าใจ และยึดถือคำสอนของพระพุทธองค์ ในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชน ไม่ต้องหลักให้มากๆ หลักศีล หลักสมาธิ หลักปัญญา และความสามัคคี ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ประเทศชาติของเรา ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ก็จะทรงอยู่ได้ตลอดกาลนาน

ขออำนวยพรให้ทุกท่านจงประสบผลสัมฤทธิ์ในกิจที่ท่านกระทำ และในการที่ท่านต้องการจะกระทำต่อไปในอนาคต จงประสบผลสัมฤทธิ์ดังจิตประสงค์จงทุกประการเทอญ”

 

ทีฆายุโก โหตุ สังฆราชา

เกล้ากระหม่อม คณะผู้บริหาร ครู นักเรียน และผู้ปกครอง โรงเรียนทอสี ขอน้อมนำคำสอนของสมเด็จพระสังฆราชมาสู่ตนเพื่อความเจริญของชีวิต ขอประทานพระวโรกาสกราบสักการะฝ่าพระบาทให้ทรงเจริญพระชันษายิ่งยืนนาน